7 ก.ย.
เป็นอีกหนึ่ง โปรแกรมหนังฟอร์มยักษ์จากเกาหลี ที่โดนพิษของ โควิด 19 จนต้องเลื่อนวันฉายถึง 3 รอบจากปลายปี 2020 สู่ต้นปี 2021 จนกระทั่งได้ฉายโรงหนังเมืองไทยรับเทศกาลสงกรานต์ทิพย์ในปี 2021 ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดระลอกใหม่ที่กำลังก่อตัวไม่แพ้กับวิกฤติล่าคนอมตะอย่างซอบกเลยทีเดียว
โดยชื่อหนังของเราก็คือมนุษย์โคลนนิงนามว่าซอบก (พัคโบกอม) ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ในการเป็นกุญแจไขคำตอบของมนุษย์สู่ชีวิตอมตะ แต่หลังจากนักวิทยาศาสตร์ถูกฆาตกรรมชะตากรรมของซอบกเลยต้องหวังพึ่ง มินกีฮอน (กงยู) บอดีการ์ดอิสระผู้มีอดีตอันขมขื่นที่ถูกเรียกตัวมารับงานอารักขามนุษย์โคลนอย่างซอบกด้วยหวังว่าเขาจะได้รับการรักษาโรคร้ายเป็นการตอบแทน
กีฮอนเลยต้องปกป้องซอบกสุดชีวิตและยิ่งนานวันสายสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ยิ่งแน่นแฟ้น ดูหนังออนไลน์ไทย ในขณะที่ซอบกได้เริ่มเรียนรู้ชีวิตและความหมายของการเป็นมนุษย์ กีฮอนก็เหมือนได้โอกาสไถ่บาปในอดีต แต่ทว่าแผนการพามนุษย์โคลนหลบหนีกลับเต็มไปด้วยลับลมคมในที่อาจทำให้ชีวิตทั้งคู่ต้องเสี่ยงอันตรายเกินคาดเดา
จากตัวอย่างหนังแน่นอนล่ะว่า ‘SEOBOK’ ขายพลังดาราของทั้งกงยูและพัคโบกอมแน่ ๆ โดยมีเรื่องราวมนุษย์โคลนและองครักษ์มาให้สาววายได้จิ้นฟินเวอร์กัน ซึ่งตรงนี้ยอมรับนะครับว่าหนังเต็มไปด้วยความเปล่งประกายของพลังดาราทั้งคู่จริง ๆ เพราะในขณะที่บรรดาภรรยาทิพย์กำลังมองกงยูด้วยสายตาอันเคลิบเคลิ้มด้วยมาดของบอดีการ์ดสุดเท่ บรรดาแม่ยกของน้องพัคโบกอมก็คงตกหลุมรักมาดเด็กน้อยใสซื่อจนยากจะถอนตัว
แต่เหนืออื่นใดด้วยความที่หนังก็จงใจให้เป็นโลกที่ไร้นางเอกดังนั้นบรรดาสาว ๆ นักเดินเรือก็สามารถ “ชิป” ความสัมพันธ์ระหว่าง “พี่กีฮอน” กับ “น้องซอบก” ได้เลยเต็มที่ด้วยฉากแฟนเซอร์วิสเลเวลน้ำหมากกระจายอย่างการพาไปเปลี่ยนชุดไปยันเลือดออกปากในตอนท้ายที่รับรองเลยว่าสาววายงานนี้มีกรี๊ดแบบตายคาจอแน่นอน
ในทางตรงกันข้ามหากเอา ‘SEOBOK’ ไปเทียบหนังไซไฟฮอลลีวูดก็อาจจะไม่ยุติธรรมกับหนังไปเสียหน่อย เพราะเมื่อพิจารณาจากเนื้อแท้และเมสเสจของหนังก็พบว่ามันเป็นงานไซไฟปรัชญาที่พูดถึงคุณค่าของชีวิตเป็นหลัก ดังนั้นแม้ว่าตอนเปิดเรื่องรวมไปถึงการดำเนินเรื่องจะออกไปทางหนังแอ็กชันไล่ล่าสุดมันส์ แต่พอหนังเข้าโหมดจริงจังมันก็ไปพูดถึงเป้าหมายของชีวิตและตราบาปในอดีตซึ่งทั้งพัคโบกอมและกงยูต่างก็ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้เป็นอย่างดีแม้จะต้องแลกกับความย้วยของหนังก็ตาม
และแม้ว่ามันจะมีจุดด่างพร้อยเรื่องซีจีไปบ้างหรือการดึงอารมณ์หนังให้ดิ่งลงช่วงกลางเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ‘SEOBOK’ ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่โชว์ศักยภาพของ “โคเรียวูด” หรืออุตสาหกรรมหนังเกาหลีที่มุ่งมั่นสร้างหนังฟอร์มยักษ์ส่งออกสู่ตลาดสากลอย่างแท้จริงขอเพียงแต่ปรับการดำเนินเรื่องให้กระชับขึ้นหรือพยายามพัฒนาเรื่องเทคนิกพิเศษให้เนียนตากว่านี้รับรองว่าบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกาอาจได้ต้อนรับแชมป์ใหม่เป็นหนังเกาหลีก็เป็นได้
หนังเล่าเรื่องราวของ “มินกีฮอน” (กงยู) อดีตสายลับที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและฝังแต่ความทรงจำอันแสนโหดร้ายอยู่ในหัว จนกระทั่งเขาถูกอดีตหัวหน้ามอบหมายให้คุ้มกัน “ซอบก” (พัคโบกอม) มนุษย์โคลนตัวแรกของโลกไปยังสถานที่ปลอดภัย แต่ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเมื่อขบวนขนส่งถูกลอบโจมตี กีฮอนและซอบกหนีมาได้ แต่ก็มีอันตรายรอพวกเขาอยู่ทุกทาง ซอบกถูกคนหลายกลุ่มออกตามล่าเพราะซอบกคือ “มนุษย์อมตะ” คนเดียวที่กุมอนาคตของมนุษยชาติ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นภัยอันตรายที่ร้ายแรงที่สุด เมื่อต้องเดิมพันด้วยอนาคตของโลก กีฮอนและซอบกต้องหนีตายเคียงบ่าเคียงไหล่พร้อมเผชิญหน้าเหล่าศัตรูรอบด้านกับการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!
จากตัวอย่างคงจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าหนังเน้นขายนักแสดงอย่าง กงยู และพัคโบกอม เพราะหนังเรื่องนี้ไม่มีนางเอกจึงทำให้จุดโฟกัสหลักไปอยู่ที่สองนักแสดงนำชายอย่างเต็มที่ ซึ่งต้องบอกว่าทั้งคู่เคมีเข้ากันได้ดีมากถึงมากที่สุด ใครแฟนคลับคนไหนมีช็อตให้กรี๊ดแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความดุ ความดิบ ความหล่อเท่ของกงยู หรือความเด็กน้อยขี้สงสัยอ่อนต่อโลก แสนจะน่ารักของพัคโกบอมก็น่าจะคว้าใจใครหลายคนได้ (และอาจเพิ่มพลังจิ้นด้วยเช่นกัน)
แต่ถึงแม้สองตัวละครหลักจะดีแค่ไหน ตัวละครที่เหลือนี่เรียกได้ว่าตัวประกอบจริง ๆ ไร้มิติ ไม่น่าสนใจ และกลายเป็นน่ารำคาญไปซะแบบนั้น
ทางด้านเนื้อเรื่อง หากใครคาดหวังว่าจะได้ดูหนังไซไฟ แอ็คชัน พลังเหนือมนุษย์อาจจะต้องผิดหวังสักหน่อย เพราะเนื้อเรื่องส่วนมากคือการสนทนาการของสองตัวละครหลัก ถึงปรัชญาชีวิต การตามหาความหมายของชีวิต ชีวิตคืออะไรทำนองนั้น แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีฉากแอ็คชันนะ มีแต่น้อย มีในช่วงต้น ๆ เรื่องกับท้ายเรื่อง ซึ่งทั้งสองฉากนั้นก็ถือว่าทำได้ดีเลยนะ (ช่วงท้ายนี่ไม่ใช่เล่น เท่!)
และด้วยความที่หนังเน้นเรื่องการตามหาความหมายของชีวิตมันจึงกลายเป็นหนังที่ค่อนข้างเนือย เนิบ และเบาไปสักหน่อย ยอมรับเลยว่าหลาย ๆ ฉากน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน และหลาย ๆ ฉากก็ยังงง ๆ เช่นกัน ภาพรวมมันไม่มีอะไรเท่าไหร่ ทั้งเรื่องเราจะได้เห็นสองตัวละครผลัดกันพูดถึงประเด็นเหล่านี้ มันจึงทำให้เราไม่อินกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเท่าไหร่ แต่ก็มีคำพูดหลาย ๆ อย่างที่คมและทำให้เราฉุกคิดอยู่เยอะเหมือนกัน
Proudly powered byWordPress. Theme byWeblizar.